ในปี 2566 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวในเกณฑ์สูงขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การอุปโภคบริโภคและการลงทุนในภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับราคาถ่านหินโลกในปีนี้ มีการปรับตัวตามภาวะของ Demand และ Supply และสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีปริมาณการนำเข้าถ่านหินลดลง 16% และการใช้ถ่านหินปรับตัวลดลง 13% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มของความต้องการใช้ถ่านหินในกลุ่มประเทศอาเซียนยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2569 เนื่องจากถ่านหินยังคงเป็นเชื้อเพลิงที่มีต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าต่ำที่สุด ทำให้หลายประเทศยังต้องพึ่งพิงโรงไฟฟ้าถ่านหินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรักษาสมดุลของต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในระยะยาว อย่างไรก็ตามการเติบโตต่อจากนี้อาจมีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากในหลายประเทศให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและหันมาสนับสนุนไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนมากขึ้น
โดย AGE มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างยั่งยืนของประเทศไทย กลุ่มบริษัทฯ จึงได้มีการลงทุนในธุรกิจพลังงานยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง และได้มีการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ โดยเดินหน้าขยายการลงทุนด้านโลจิสติกส์ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพื่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด และมีการลงทุนในธุรกิจพลังงานยั่งยืน ได้แก่ ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงจากขยะ (RDF) และได้เข้าไปลงทุนใน บมจ. คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ “QTC” ในสัดส่วน 23.92% เพื่อเป็นการสร้างโอกาสและการต่อยอดด้านการลงทุนในธุรกิจพลังงานในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ (Diversified Investments) โดยปัจจุบันมีธุรกิจการปล่อยสินเชื่อรถบรรทุก
ในด้านผลประกอบการของบริษัทฯ ในภาพรวมของปี 2566 AGE มียอดขายถ่านหิน 3.7 ล้านตัน รายได้รวมจากการขายและการให้บริการโลจิสติกส์ 13,239.2 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 29.6 มีกำไรสุทธิ 285.1 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 77.2 จากปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ราคาถ่านหินโลกที่มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นองค์กรที่พร้อมรับมือกับความผันผวนของสถานการณ์ทางธุรกิจ ซึ่งดำเนินการควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อทั้งบริษัท พนักงาน และชุมชนโดยรอบ ตระหนักในความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจด้วย โดยในปี 2566 บริษัทฯ ได้รับการจัดให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (SET ESG Rating) ติดต่อกันเป็นปีที่ 6 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งมอบให้แก่บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการบริหารภายใต้หลักบรรษัทภิบาล ถือเป็นการตอกย้ำถึงการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้เป็นอย่างดี
ในนามของประธานกรรมการบริษัท ผมขอขอบคุณสำหรับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจากผู้ถือหุ้น นักลงทุน สถาบันการเงิน พันธมิตรทางธุรกิจ ลูกค้า ตลอดจนผู้บริหาร และพนักงานทุกท่านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจช่วยดำเนินธุรกิจด้วยความเสียสละ ทุ่มเท อดทนและซื่อสัตย์ ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ บริษัทฯ ขอยืนยันว่าจะดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตระหนักถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย รวมถึง มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม เพื่อให้บริษัทฯ เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
นายวิชัย ตันพัฒนรัตน์